วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ผู้บริโภคอาหารเสริมควรรู้


คุณมาลี จิรวงศ์ศรี นักวิชาการอาหารและยา กองควบคุมอาหาร เล่าว่า “จริงๆแล้ว อาหารที่มีการเติมสารอาหารมีมานานแล้ว แต่ว่าได้รับความนิยมอยู่ในกลุ่มเล็กๆ แต่พอผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารรูปแบบ แคปซูลเม็ด) อยู่ในกระแสนิยมของผู้รักสุขภาพทั้งหลาย ทางยุโรปเขาก็มองว่า เราควรกินอาหารรูปแบบปกติ แต่ควรจะดึงดูดมากขึ้น โดยการเพิ่มสารอาหารลงไป จึงมีการขยายตัวของอาหารเติมสารอาหารมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง”

“การเติมสารต่างๆ ลงไปทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยขึ้นอยู่กับกระแสของสังคมตอนนั้นว่าสนใจอะไร ฉะนั้นการเติมสารตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นเรื่องของการตลาดเป็นหลัก เป็นการเติมเพื่อสร้างจุดขายให้กับผู้บริโภคสนใจมากกว่า”

มีทั้งคุณและโทษในขวดเดียวกัน

คุณมาลีอธิบายเพิ่มเติมว่า “ถ้าเป็นการเติมวิตามินและแร่ธาตุในรูปแบบและปริมาณที่เรากำหนดลงไปในอาหารไม่มีโทษแน่นอน แต่ถ้าเติมเกินขนาดที่กำหนด และกินติดต่อกันเป็นเวลานานก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เหมือนกัน”

“ส่วนสารอื่นๆที่ไม่ใช่วิตามินและแร่ธาตุ ถามว่าได้ประโยชน์ไหม เช่น ซอยเปปไทด์ ก็มีประโยชน์ตัวเช่นเดียวกับสารอาหารกลุ่มโปรตีน แต่ถามว่าได้แค่ไหน ไม่สามารถตอบได้เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงพอที่จะสรุปประโยชน์ในลักษณะอื่นๆได้ และเราไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลาก”

ดร.เอกราช เกตวัลย์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ช่วยเสริมความรู้เรื่องอาหารเติมสารว่า “ร่างกายคนเราจะได้รับประโยชน์จากสารที่เติมลงไปนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คือหนึ่ง กระบวนการผลิต เช่น วิตามินที่เติมลงในน้ำผลไม้หรือเติมลงในนม ขนมปัง ต้องผ่านการให้ความร้อนก่อน วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี เมื่อได้รับความร้อนจะถูกทำลายได้ง่าย และอีกอย่างคือ เมื่อยู่ในรูปเครื่องดื่มอาจทำปฏิกิริยาระหว่างวิตามินหรือสารอาหารด้วยกันเอง ยิ่งถ้ามีสารอาหารหลายๆชนิดที่เติมลงไปแล้วผู้ผลิตไม่ได้ศึกษาถึงความคงที่ของสารที่เติมลงไป ร่างกายอาจไม่สามารถดูดซึมได้ดี

“สอง ชนิดของสารอาหารที่เติมและสภาพร่างกาย เช่น คอลลาเจน เมื่อกินคอลลาเจนเข้าไปร่างกายจะย่อยให้แตกตัวเป็นกรดอะมิโนแอซิด แล้วจึงนำอะมิโนแอซิดที่ได้กลับไปสร้างเป็นคอลลาเจนใหม่ ไม่ใช่การดื่มเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนเข้าแล้วจะได้เป็นคอลลาเจนเลย จึงขึ้นอยู่กับว่าร่างกายมีความสามารถสังเคราะห์กลับมาได้เท่าไร และความสามารถในสังเคราะห์กลับคืนมาขึ้นอยู่กับ สภาพร่างกาย เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรงการสังเคราะห์คอลลาเจนจะลดลง เมื่อกินคอลลาเจนเข้าไปเท่าไร ร่างกายก็จะสังเคราะห์เท่าที่ทำได้ ไม่มีการสังเคราะห์เพิ่ม ”

สำรวจตลาดผลิตภัณฑ์เติมสารอาหาร

อาจารย์เอกราชจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

กลุ่มบำรุงสมอง
เปปไทด์ เปปไทด์ถั่วเหลือง (Soy Peptide) คือ โปรตีนหน่วยย่อยที่ได้จากการย่อยโปรตีนถั่วเหลืองด้วยเอนไซม์ ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างคุณประโยชน์ของเปปไทด์ถั่วเหลืองที่มีต่อสุขภาพในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยจะช่วยเพิ่มการสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเปปไทด์ถั่วเหลือง (soy peptide) ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ ความจำ และมีคุณสมบัติในการลดความเครียด แต่งานวิจัยในเรื่องดังกล่าวยังค่อนข้างจำกัดและไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ

นอกจากนี้ร่างกายคนเรายังสามารถสร้างสื่อประสาทบางประเภทจากกรดอะมิโนหรือเปปไทด์ที่ได้จากการย่อยโปรตีนจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป และยังมีสารสื่อประสาทอื่นๆ ที่ไม่ได้สร้างขึ้นจากกรดอะมิโนหรือเปปไทด์ อีกทั้งสารสื่อประสาทนั้น ได้รับการควบคุมโดย DNA ของแต่ละคน ซึ่งจะสร้างขึ้นตามความจำเป็นของร่างกาย การมีเปปไทด์ในกระแสเลือดมากขึ้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารสื่อประสาทมากขึ้น

โอเมก้า 3 โอเมก้า 3 คือ กรไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารทั่วไป แต่ก็มีอยู่ในปริมาณสัดส่วนที่ต่ำมาก โอเมก้า 3 มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทที่เกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมถึงเรตินาที่ช่วยการมองเห็น นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

กลุ่มชะลอวัย
คิวเทน (Q 10) ด้วยเหตุที่คิวเทนทำหน้าที่ในกระบวนการเสริมสร้างพลังงานให้แก่ทุกๆ เซลล์ และเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ช่วยป้องกันการทำลายเซล์เนื้อเยื่อของร่างกาย จึงมีการนำมาใช้ในด้านความสวยงาม อย่างไรก็ตามคิวเทนที่ได้รับจากอาหารจะดูดซึมเข้าสู่เลือด และอวัยวะต่างๆ แต่จะดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้น้อย ซึ่งจะให้ผลในด้านสุขภาพโดยรวมมากกว่าด้านผิวพรรณ

คอลลาเจน คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่ง มีมากที่สุดในร่างกาย คือมีอยู่ประมาณ หนึ่ง ใน สาม คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง พบได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหนังตึงและเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว แต่จริงๆแล้วในเชิงโภชนาการ คอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ ถ้าเราได้รับโปรตีนในรูปของคอลลาเจนเพียงชนิดเดียว เราก็อาจเกิดอาการขาดโปรตีนได้ และส่งผลเสียต่อร่างกาย ที่สำคัญ ปัจจุบันยังไม่มีรายงานวิจัยที่ยืนยันว่าการกินคอลลาเจนจะช่วยชะลอผิวหนังที่เสื้อมสภาพตามวัยได้

กลุ่มควบคุมน้ำหนัก
อินูลินและโอลิโกฟรุคโตส อินูลินและลิโกฟรุคโตสสเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ มีความสามารถในการละลายน้ำได้ดีกว่าใยอาหารที่ละลายน้ำชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลเล็กว่า จึงถูกแบคทีเรียย่อยสลายได้ กลายเป็นอาหารที่ดีของจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ของเรา โดยเฉพาะจุลินทรีย์สุขภาพ ใยอาหารจำพวกนี้จัดเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) และการที่สารทั้งสองเป้นใยอาหารจึงให้ผลลัพท์เช่นเดียวกับใยอาหารอื่นๆ ในแง่ของระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย

คาร์นิทีน ตามปกติร่างกายสังเคราะห์แอลคาร์นิทีนได้จากไลซีนและเมทไธโอนีนอยู่แล้ว การที่คนขายกล่าวอ้างว่า เมื่อรับประทานพร้อมกับการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ดีขึ้น และช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่มีการวิจัยที่ยืนยันเรื่องนี้ชัดเจน

กลุ่มสวยงามและบำรุงสุขภาพ
กลูต้าไทโอน (Gluta thione) เป็นกลุ่มอนุมูลย่อยของกรดอะมิโน 3 ชนิด (Tripetide) ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic Acid มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆ ที่ช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย เช่น พิษของโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่สะลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย และจัดเป็นสารแอนตี้ออกวิเด้นท์ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างกลูตาไทโอนได้เอง และกลุตาไทโอนไม่สามารถดุดซึมเข้าร่างกายได้ทันที ดังนั้นการกินกลูตาไทโอนที่เติมลงในอาหารจึงไม่ทำให้ผิวขาวได้

คลอโรฟิลล์ คลอโรฟิลล์เป็นกลุ่มของรงควัตถุที่มีสีเขียวพบในพืชทั่วไป ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์เป็นสารแอนตี้ออกวิเด้นท์ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี ปัจจุบันมีการเติมลงในเครื่องดื่ม หรือทำเป็นผงสำหรับชงดื่ม ที่อ้างว่าช่วยในการล้างพาในเลือดและทำให้ผิวหน้าใสนั้น จากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม

สำหรับสรรพคุณในเรื่องช่วยลดกลิ่นปาก ถ้าจะให้ได้ผลจริงจะต้องใช้คลอโรฟิลล์ในปริมาณเข้มข้นมากว่าที่ขายในปัจจุบันมาก โดยทั่วไปสินค้าหลายๆ ขนิดที่มีการใช้คลอโรฟิลล์จะเป็นการใช้เพื่อ “แต่งสี” ให้มีสีสันน่ากินเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อช่วยลดกลิ่นปาก และคลอโรฟิลล์เองไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใย จึงไม่ช่วยขับสารพิษจากร่างกาย

กรดโฟลิก กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายนำไปใช้เพื่อสร้างเวลล์เม็ดเลือดรักษาบาดแผลสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บกรดโฟลิกไว้ได้นาน จึงต้องกินอาหารที่มีกรดโฟลิกเป็นประจำ ถ้าได้รับน้อยเกินไปจะทำให้เป้นโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และอัลไซเมอร์

ปัจจุบันมีอาหารหลายชนิดที่เติมกรดโฟลิก เช่น ขนมปัง และซีเรียส เพื่อเสริมคุณค่าอาหารและป้องกันโรคดังกล่าว แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูหมาก นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ที่เป็นโรคลมชักเกิดอาการกำเริบกระทันหัน

แครนเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ถือเป็นผลไม้ที่มีวิตามินวีสูงมาก และประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่เป็นสาร แอนตี้ออกซิเด้นท์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการเจริยเติบโตของเซลลืมะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลอง แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อให้เกิดผลทางสุขภาพ เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วยพอ ผลิตภัณฑ์จากแครนเบอร์รี่ที่พบในท้องตลาดคือ น้ำแครนเบอร์รื่วึ่งใช้แครนเบอร์รี่เข้มข้นที่นำเข้าจากต่างประเทศมาละลายน้ำและปรุงรสด้วยน้ำตาล ดังนั้นการบริโภคน้ำแครนเบอร์รี่สำเร็จรูปจึงควรระวังเรื่องปริมาณน้ำตาลด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีปับหาความอ้วนหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน


บทความจาก: นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 251
บทความจาก: นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 251

คุณมาลี จิรวงศ์ศรี นักวิชาการอาหารและยา กองควบคุมอาหาร เล่าว่า “จริงๆแล้ว อาหารที่มีการเติมสารอาหารมีมานานแล้ว แต่ว่าได้รับความนิยมอยู่ในกลุ่มเล็กๆ แต่พอผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารรูปแบบ แคปซูลเม็ด) อยู่ในกระแสนิยมของผู้รักสุขภาพทั้งหลาย ทางยุโรปเขาก็มองว่า เราควรกินอาหารรูปแบบปกติ แต่ควรจะดึงดูดมากขึ้น โดยการเพิ่มสารอาหารลงไป จึงมีการขยายตัวของอาหารเติมสารอาหารมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง”

“การเติมสารต่างๆ ลงไปทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยขึ้นอยู่กับกระแสของสังคมตอนนั้นว่าสนใจอะไร ฉะนั้นการเติมสารตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นเรื่องของการตลาดเป็นหลัก เป็นการเติมเพื่อสร้างจุดขายให้กับผู้บริโภคสนใจมากกว่า”

มีทั้งคุณและโทษในขวดเดียวกัน

คุณมาลีอธิบายเพิ่มเติมว่า “ถ้าเป็นการเติมวิตามินและแร่ธาตุในรูปแบบและปริมาณที่เรากำหนดลงไปในอาหารไม่มีโทษแน่นอน แต่ถ้าเติมเกินขนาดที่กำหนด และกินติดต่อกันเป็นเวลานานก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เหมือนกัน”

“ส่วนสารอื่นๆที่ไม่ใช่วิตามินและแร่ธาตุ ถามว่าได้ประโยชน์ไหม เช่น ซอยเปปไทด์ ก็มีประโยชน์ตัวเช่นเดียวกับสารอาหารกลุ่มโปรตีน แต่ถามว่าได้แค่ไหน ไม่สามารถตอบได้เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงพอที่จะสรุปประโยชน์ในลักษณะอื่นๆได้ และเราไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลาก”

ดร.เอกราช เกตวัลย์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ช่วยเสริมความรู้เรื่องอาหารเติมสารว่า “ร่างกายคนเราจะได้รับประโยชน์จากสารที่เติมลงไปนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คือหนึ่ง กระบวนการผลิต เช่น วิตามินที่เติมลงในน้ำผลไม้หรือเติมลงในนม ขนมปัง ต้องผ่านการให้ความร้อนก่อน วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี เมื่อได้รับความร้อนจะถูกทำลายได้ง่าย และอีกอย่างคือ เมื่อยู่ในรูปเครื่องดื่มอาจทำปฏิกิริยาระหว่างวิตามินหรือสารอาหารด้วยกันเอง ยิ่งถ้ามีสารอาหารหลายๆชนิดที่เติมลงไปแล้วผู้ผลิตไม่ได้ศึกษาถึงความคงที่ของสารที่เติมลงไป ร่างกายอาจไม่สามารถดูดซึมได้ดี

“สอง ชนิดของสารอาหารที่เติมและสภาพร่างกาย เช่น คอลลาเจน เมื่อกินคอลลาเจนเข้าไปร่างกายจะย่อยให้แตกตัวเป็นกรดอะมิโนแอซิด แล้วจึงนำอะมิโนแอซิดที่ได้กลับไปสร้างเป็นคอลลาเจนใหม่ ไม่ใช่การดื่มเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนเข้าแล้วจะได้เป็นคอลลาเจนเลย จึงขึ้นอยู่กับว่าร่างกายมีความสามารถสังเคราะห์กลับมาได้เท่าไร และความสามารถในสังเคราะห์กลับคืนมาขึ้นอยู่กับ สภาพร่างกาย เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรงการสังเคราะห์คอลลาเจนจะลดลง เมื่อกินคอลลาเจนเข้าไปเท่าไร ร่างกายก็จะสังเคราะห์เท่าที่ทำได้ ไม่มีการสังเคราะห์เพิ่ม ”

สำรวจตลาดผลิตภัณฑ์เติมสารอาหาร

อาจารย์เอกราชจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

กลุ่มบำรุงสมอง
เปปไทด์ เปปไทด์ถั่วเหลือง (Soy Peptide) คือ โปรตีนหน่วยย่อยที่ได้จากการย่อยโปรตีนถั่วเหลืองด้วยเอนไซม์ ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างคุณประโยชน์ของเปปไทด์ถั่วเหลืองที่มีต่อสุขภาพในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยจะช่วยเพิ่มการสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเปปไทด์ถั่วเหลือง (soy peptide) ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ ความจำ และมีคุณสมบัติในการลดความเครียด แต่งานวิจัยในเรื่องดังกล่าวยังค่อนข้างจำกัดและไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ

นอกจากนี้ร่างกายคนเรายังสามารถสร้างสื่อประสาทบางประเภทจากกรดอะมิโนหรือเปปไทด์ที่ได้จากการย่อยโปรตีนจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป และยังมีสารสื่อประสาทอื่นๆ ที่ไม่ได้สร้างขึ้นจากกรดอะมิโนหรือเปปไทด์ อีกทั้งสารสื่อประสาทนั้น ได้รับการควบคุมโดย DNA ของแต่ละคน ซึ่งจะสร้างขึ้นตามความจำเป็นของร่างกาย การมีเปปไทด์ในกระแสเลือดมากขึ้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารสื่อประสาทมากขึ้น

โอเมก้า 3 โอเมก้า 3 คือ กรไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารทั่วไป แต่ก็มีอยู่ในปริมาณสัดส่วนที่ต่ำมาก โอเมก้า 3 มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทที่เกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมถึงเรตินาที่ช่วยการมองเห็น นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

กลุ่มชะลอวัย
คิวเทน (Q 10) ด้วยเหตุที่คิวเทนทำหน้าที่ในกระบวนการเสริมสร้างพลังงานให้แก่ทุกๆ เซลล์ และเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ช่วยป้องกันการทำลายเซล์เนื้อเยื่อของร่างกาย จึงมีการนำมาใช้ในด้านความสวยงาม อย่างไรก็ตามคิวเทนที่ได้รับจากอาหารจะดูดซึมเข้าสู่เลือด และอวัยวะต่างๆ แต่จะดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้น้อย ซึ่งจะให้ผลในด้านสุขภาพโดยรวมมากกว่าด้านผิวพรรณ

คอลลาเจน คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่ง มีมากที่สุดในร่างกาย คือมีอยู่ประมาณ หนึ่ง ใน สาม คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง พบได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหนังตึงและเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว แต่จริงๆแล้วในเชิงโภชนาการ คอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ ถ้าเราได้รับโปรตีนในรูปของคอลลาเจนเพียงชนิดเดียว เราก็อาจเกิดอาการขาดโปรตีนได้ และส่งผลเสียต่อร่างกาย

กลุ่มควบคุมน้ำหนัก
อินูลินและโอลิโกฟรุคโตส อินูลินและลิโกฟรุคโตสสเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ มีความสามารถในการละลายน้ำได้ดีกว่าใยอาหารที่ละลายน้ำชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลเล็กว่า จึงถูกแบคทีเรียย่อยสลายได้ กลายเป็นอาหารที่ดีของจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ของเรา โดยเฉพาะจุลินทรีย์สุขภาพ ใยอาหารจำพวกนี้จัดเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) และการที่สารทั้งสองเป้นใยอาหารจึงให้ผลลัพท์เช่นเดียวกับใยอาหารอื่นๆ ในแง่ของระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย

คาร์นิทีน ตามปกติร่างกายสังเคราะห์แอลคาร์นิทีนได้จากไลซีนและเมทไธโอนีนอยู่แล้ว การที่คนขายกล่าวอ้างว่า เมื่อรับประทานพร้อมกับการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ดีขึ้น และช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่มีการวิจัยที่ยืนยันเรื่องนี้ชัดเจน

กลุ่มสวยงามและบำรุงสุขภาพ
กลูต้าไทโอน (Gluta thione) เป็นกลุ่มอนุมูลย่อยของกรดอะมิโน 3 ชนิด (Tripetide) ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic Acid มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆ ที่ช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย เช่น พิษของโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่สะลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย และจัดเป็นสารแอนตี้ออกวิเด้นท์ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างกลูตาไทโอนได้เอง และกลุตาไทโอนไม่สามารถดุดซึมเข้าร่างกายได้ทันที ดังนั้นการกินกลูตาไทโอนที่เติมลงในอาหารจึงไม่ทำให้ผิวขาวได้

คลอโรฟิลล์ คลอโรฟิลล์เป็นกลุ่มของรงควัตถุที่มีสีเขียวพบในพืชทั่วไป ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์เป็นสารแอนตี้ออกวิเด้นท์ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี ปัจจุบันมีการเติมลงในเครื่องดื่ม หรือทำเป็นผงสำหรับชงดื่ม ที่อ้างว่าช่วยในการล้างพาในเลือดและทำให้ผิวหน้าใสนั้น จากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม

สำหรับสรรพคุณในเรื่องช่วยลดกลิ่นปาก ถ้าจะให้ได้ผลจริงจะต้องใช้คลอโรฟิลล์ในปริมาณเข้มข้นมากว่าที่ขายในปัจจุบันมาก โดยทั่วไปสินค้าหลายๆ ขนิดที่มีการใช้คลอโรฟิลล์จะเป็นการใช้เพื่อ “แต่งสี” ให้มีสีสันน่ากินเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อช่วยลดกลิ่นปาก และคลอโรฟิลล์เองไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใย จึงไม่ช่วยขับสารพิษจากร่างกาย

กรดโฟลิก กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายนำไปใช้เพื่อสร้างเวลล์เม็ดเลือดรักษาบาดแผลสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บกรดโฟลิกไว้ได้นาน จึงต้องกินอาหารที่มีกรดโฟลิกเป็นประจำ ถ้าได้รับน้อยเกินไปจะทำให้เป้นโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และอัลไซเมอร์

ปัจจุบันมีอาหารหลายชนิดที่เติมกรดโฟลิก เช่น ขนมปัง และซีเรียส เพื่อเสริมคุณค่าอาหารและป้องกันโรคดังกล่าว แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูหมาก นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ที่เป็นโรคลมชักเกิดอาการกำเริบกระทันหัน

แครนเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ถือเป็นผลไม้ที่มีวิตามินวีสูงมาก และประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่เป็นสาร แอนตี้ออกซิเด้นท์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการเจริยเติบโตของเซลลืมะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลอง แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อให้เกิดผลทางสุขภาพ เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วยพอ ผลิตภัณฑ์จากแครนเบอร์รี่ที่พบในท้องตลาดคือ น้ำแครนเบอร์รื่วึ่งใช้แครนเบอร์รี่เข้มข้นที่นำเข้าจากต่างประเทศมาละลายน้ำและปรุงรสด้วยน้ำตาล ดังนั้นการบริโภคน้ำแครนเบอร์รี่สำเร็จรูปจึงควรระวังเรื่องปริมาณน้ำตาลด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีปับหาความอ้วนหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

10 ข้อห้ามของคนอยากสวย


1. สูบบุหรี่ นอกจากจะทำให้เกิดริ้วรอยยับย่นบริเวณรอบปาก บุหรี่ยังไปขัดขวางการไหลเวียนของเส้นเลือด ทำให้ปริมาณออกซิเจนผ่านไปยังเซลล์ผิวได้ไม่เพียงพอ ผิวจึงหมองคล้ำ ถ้าไม่สามารถสูบบุหรี่ให้น้อยลงได้ ควรบำรุงผิวด้วยการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำ

2. มลภาวะ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น จึงควรตื่นเช้าไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหรือเข้ายิม เพื่อเพิ่มพลังให้ร่างกายต้านอนุมูลอิสระ แล้วทาครีมที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ เพื่อเป็นการปกป้องผิวปิดท้าย

3. อากาศแห้ง ผิวหนังจะสูญเสียน้ำ ความชื้น และแห้งแตกราวกับเป็นเพื่อนรักกับจระเข้ ทางที่ดีหมั่นทาครีมบำรุงผิว และหาสเปรย์น้ำแร่มาฉีดเติมน้ำให้ผิวบ้าง

4. การเพิ่ม / ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวก็เหมือนอีลาสติก ยืด ๆ หด ๆ บ่อยเข้าก็เหี่ยวและเสียความยืดหยุ่นเป็นธรรมดา พยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยการทานยา เพราะผลจากโยโย่เอฟเฟ็คท์จะทำให้น้ำหนักพุ่งพรวด ผิวแตกลาย และเกิดเซลลูไลท์

5. การถูหรือขัดที่ผิวหน้าแรง ๆ ต้องห้าม จำไว้ว่าการแต่งหน้า หรือบำรุงผิว ต้องทำอย่างเบามือ และอ่อนโยนที่สุด ลงทุนใช้แปรงปัดแก้มที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำเนื้อดี เพื่อป้องกันรอยยับย่น

6. สะอาดเกินไป สาวอนามัย ทั้งล้าง ทั้งขัดใบหน้าจนขึ้นเงา การเสียดสีผิวมากเท่าไร ผิวก็ยิ่งหยาบกร้านได้มากเท่านั้น แถมมีโอกาสแพ้หรือระคายเคืองได้ง่าย

7. แอลกอฮอล์ หลังจากร่างกายเสพแอลกอฮอล์เข้าไป จะส่งผลให้ผิวแห้งจากภายในมาสู่ภายนอก ตับทรุด และทำลายวิตามินบีในร่างกาย

8. ยา ยาบางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้ผิวแห้ง หรือไปกระตุ้นฮอร์โมนทำให้ผิวมันกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรถามเภสัชกรทุกครั้งว่า ยาที่รับประทานมีผลอะไรต่อร่างกายอีกบ้าง

9. ท้องผูก อาการท้องผูกยังทำให้สารพิษต่าง ๆ สะสมไว้ในร่างกายและผิวพรรณ ดังนั้น ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ รับประทานผัก ผลไม้ อยู่เสมอ

10. แสงแดด เป็นตัวการทำลายผิวอยู่เป็นประจำ ด้วยยูวีเอ จะเข้าไปทำให้เกิดริ้วรอย ส่วนยูวีบี จะส่งผลให้เกิดการไหม้ แสบ ร้อน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือเดลินิวส์

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Hydrolyzed/Hydrolysate/Peptide คอลลาเจนต่างกันอย่างไร?


ปัจจุบันในความเข้าใจของผู้บริโภค Collagen คือโปรตีนที่ทำให้ผิวหนัง เหนียวและแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี เมื่ออายุมากขึ้น Collagen พร่องลงและเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ร่างกายสามารถผลิตเองได้แต่เมื่ออายุมากขึ้นการผลิตของร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดการยุบตัวของผิวหนัง และนี่คือสาเหตุแห่งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง ดังเช่น รอยตีนกา ผิวหนังไม่สดใสเต่งตึง จึงต้องช่วยเสริมให้แก่ร่างกายอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็ทำได้หลายวิธี เช่น โดยการรับประทาน การทาบำรุง หรือการฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวที่แข็งแรงไม่เหี่ยวย่นไปตามวัยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อความงามที่ยั่งยืน

เกร็ดความรู้เรื่อง Collagen อย่างที่ทราบว่า คอลลาเจน คือ โปรตีนธรรมชาติพบมากในผิวหนังและกระดูกของสิ่งมีชีวิต ลักษณะจะเป็นใยโครงสร้างหนาแน่นขนาดเล็กมาก เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนังและกระดูก โครงสร้างเหล่านี้จะค่อยๆ เสื่อมสลายเองตามอายุที่มากขึ้น เป็นรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง การเสื่อมของข้อต่อกระดูก และตัวกระดูกเอง

คอลลาเจน โดยปกติจะไม่สามารถรับประทานโดยตรงได้ เพราะมีขนาดและความหนาแน่นสูงมาก ย่อยสลายแล้วดูดซึมโดยร่างกายได้ยาก จำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปให้อยู่ในรูปที่สามารถรับประทานได้และดูดซึมย่อยสลายโดยร่างกายง่าย โดยหลักจะมีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากคอลลาเจน 2 ชนิด คือ Gelatin (สารทำวุ้นชนิดหนึ่ง) และคอลลาเจนพร้อมรับประทาน Hydrolyzed collagen หรือยังสามารถเรียกอีกแบบหนึ่งว่า " Hydrolysate " หรือ " Peptide " ของคอลลาเจน

สำหรับ Hydrolyzed Collagen ที่ผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงานและเครื่องจักรคุณภาพสูง และผลิตด้วยระบบ นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)นั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ลำใส้จึงสามารถดูดซึมได้ง่าย และร่างกายได้รับประโยชน์สูงสูด ส่วนใหญ่ Hydrolyzed Collagenนั้นถูกผลิตมาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพร้อมรับประทานได้ทันที (Drinkable collagen)หรือนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆในท้องตลาด โดยการสกัดคอลลาเจนจากปลา ให้เป็นคอลลาเจนโปรตีนบริสุทธิ์ นั้นไม่มีไขมัน ไม่มีอันตรายและผลข้างเคียง *จากการศึกษายังไม่พบคนที่รับประทาน Hydrolyzed Collagen แล้วเกิดอาการแพ้ (ไม่ใช่การฉีดเข้าผิวหนัง)*

Collagen ที่รับประทานได้ในรูปแบบอื่นก็มี เช่น Collagen casing (ใช้ทำผิวเปลือกของไส้กรอก) ก็เป็นผลิตภัณฑ์จากคอลลาเจน แต่โครงสร้างจะเป็น Gelatin อีกรูปแบบหนึ่ง หรือการต้มน้ำแกงกระดูก ก็สามารถได้รับคอลลาเจนที่มีอยู่ในน้ำต้มกระดูกได้ แต่จะได้ไม่มากและมีไขมันให้มาเป็นของแถม

ประโยชน์ของ Hydrolyzed Collagen:

สามารถเสริมสร้างและชะลอการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนในผิวหนัง และกระดูกของร่างกาย แล้วยังรวมถึงการบำรุงเส้นผม เล็บ และกล้ามเนื้อ จากการวิจัยของต่างประเทศ ยืนยันว่า..การบริโภคคอลลาเจน นอกจากจะช่วยเรื่องการเสื่อมสภาพของผิวหนังแล้ว ยังสามารถช่วยในเรื่องของโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อมด้วย เพราะว่า ใน Hydrolyzed collagen มีกรดอะมิโน (โปรตีน) ทั้งหมดอยู่ประมาณ 18 ชนิด ซึ่งมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูและเจริญเติบโตของเซลล์ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้

Amino acid components in pure collagen : Amino acid per 100 g.

1. Alanine 11.3
2. Arginine 9.0
3. Aspartic acid 6.7
4. Glutamic acid 11.6
5. Glycine 27.2
6. Histidine 0.7
7. Proline 15.2
8. Hydroxyproline 13.3
9. Hydroxylysine 0.8
10. Isoleucine 1.6
11. Leucine 3.5
12. Lysine 4.4
13. Methionine 0.6
14. Phenylalanine 2.5
15. Serine 3.7
16. Threonine 2.4
17. Tyrosine 0.2
18. Valine 2.8
* Reference GME(Gelatin Manufacturers of Europe)

อาหารที่เพิ่มคอลลาเจนให้กับคุณ



วิธีการกินอาหารเพื่อเพิ่มคอลลาเจน สำหรับคนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอพออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกา

วิธี ป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจนง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่ คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย

สำหรับอาหาร ที่มีคอลลาเจน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าเวลาต้มขา หมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น นั่นแหละคือคอลลาเจน วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ

ถ้า กลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้ เช่น สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก ถั่วเหลือง แตงกวา ขึ้น ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์

ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถ ดูดซึมได้ดี แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้าเรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด ถ้ากินเข้าไป 100อาจจะเหลือแค่ 10เพราะ ฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิตามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วยไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ สำหรับการเพิ่มคอลลาเจน ด้วยอาหารที่คุณหมอกฤษดา แนะนำ เพียงเท่านี้ริ้วรอย ตีนกา ก็จะมาเยือนท่านช้าลง.

นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Collagen = ผิวพรรณ



ผิวหนังของคนเรา ปกติแล้วแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ


1. ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis ) เป็น ผิวชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลผิวหนัง ( Keratinocyte ) หรือ Squamous cell ซึ่งเป็นเซลที่มีหน้าที่สร้างสาร Keratin ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล ชั้นหนังกำพร้าทำหน้าที่รักษาความ ชุ่มชื้นให้กับพื้นผิว ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่


2. ชั้นหนังแท้ ( Dermis ) เป็น ผิวชั้นใน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเส้นใยประสานกันไปมาคือ Collagen fibers, Elastic fibers และ Recticulum fibers นอกจากนี้ยังมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทต่าง ๆ ที่รับความรู้สึกอยู่ด้วย


3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Subcutis ) ทำ หน้าที่รองรับผิวหนังให้คงรูปร่าง ช่วยลดการกระทบกระแทก และเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายยามขาดแคลนพลังงานอีกด้วย ผิวหนังจะมีการเสื่อมสภาพได้ด้วยสาเหตุ หลัก ๆ 2 ประการคือ การเสื่อมตามวัย และ เสื่อมเนื่องจากผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม แต่ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม ย่อมมีผลกระทบต่อผิวพรรณ มีริ้วรอย หมองคล้ำ ไม่เต่งตึง ทั้งนี้ก็เพราะ คอลลาเจน ( Collagen ) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีการเสื่อมลง แล้วเจ้า คอลลาเจน นี้คืออะไร การเสื่อมลงของ คอลลาเจน ทำให้เกิดริ้วรอยได้อย่างไรล่ะ มีคำเฉลยดังต่อไปนี้


คอลลาเจน ( Collagen ) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ Kolla ซึ่งแปลว่ากาว นั่นเอง คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่ เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียนและ ทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ อีลาสติน ( Elastin ) ในขณะที่ คอลลาเจน มีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว อีลาสติน ก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ใน วัยเด็ก คอลลาเจน ยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใย คอลลาเจน เหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย ยิ่งสูงวัยขึ้นเท่าใด ริ้วรอยแห่งวัยก็เห็นชัดขึ้นเท่านั้น ริ้วรอยแรกที่มาเยือนที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ รอยตีนกา เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวมากกว่าที่อื่น


อย่างไร ก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นด้วยการรับประทาน คอลลาเจน หรือ วิธีการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะต้องใช้ผู้เชี่ยวชา* ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด


อ้างอิง http://www.watpo.com/

ภาพประกอบ internet

บุคคลิกภาพนำพาไปสู่โรคร้าย



คุณคิดอย่างไร ระหว่าง “ยังมีน้ำเหลืออีกครึ่งหนึ่ง” กับ “น้ำหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว” ทราบหรือไม่ว่า ความคิดที่ต่างกันนี้ สามารถนำคุณไปสู่ความเสี่ยงของโรคร้ายที่ไม่เหมือนกัน บุคลิกลักษณะ ที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา หลาย ๆ คนทราบดีอยู่แล้วว่า ใครที่มีบุคลิกภาพในเชิงลบ หรือ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ไม่เพียงเท่านั้น คนที่มีบุคลิกที่ต่างออกไป ก็เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างชนิดเช่นกัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ สหรัฐอเมริกา ได้แยกบุคลิกภาพของคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเอ บี และซี กลุ่มเอ คือคนที่มีนิสัยขี้โมโห เห็นแก่ตัว ชอบเยอะเย้ยถากถาง ชอบความรุนแรง หาเรื่อง ไม่ไว้ใจผู้อื่น และชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก คนประเภทนี้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ มากกว่าคนที่ทำตัวเรื่อยเปื่อย เพราะคนกลุ่ม เอ นี้ มีอารมณ์ที่ปรวนแปรง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่า คนที่สงบเสงี่ยม เจียมตัว ขี้อาย ซึ่งจัดว่าเป็น กลุ่มบี นั้นจะปลอดภัย ถ้าคิดเช่นนั้น ต้องคิดใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้ จะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำซึ่งเป็นผลจากระดับฮอร์โมนคอลติซอลสูง ส่งผลให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย ส่วนบุคลิกภาพ กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่ม ซี นั้น เป็นพวกที่ชอบเก็บอารมณ์ ข่มความรู้สึก อดทน อดกลั้น ไม่ชอบความขัดแย้ง กลุ่มนี้ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะความพยายามในการควบคุมอารมณ์ จะทำให้ร่างกายมีระดับ Stress ฮอร์โมนสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังเซล หรือเนื้อเยื่อ รวมไปถึงรูมาตอยด์ ไขข้ออักเสบ และโรคผิวหนังเรื้อรัง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเราได้หรือไม่ เพื่อจะลดความเสี่ยงของโรคร้ายเหล่านี้ คำตอบคือ บุคลิกภาพของเรา ถูกกำหนดโดยยีน แต่ในเรื่องของอารมณ์นั้น เราจะได้รับอิทธิพลจากหลายด้าน ทั้งพ่อแม่ การเลี้ยงดู และเพื่อน ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ หากรู้จักวิธีการในการโต้ตอบสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความสงบและใจเย็น




ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต